.
แม้ปัจจุบัน อำเภอปะเหลียน จะเป็นอำเภอหนึ่งของตรัง ที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และประชาชนมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ีดี แต่คงมีคนตรังน้อยคนที่จะรู้ว่า ครั้งหนึ่ง เมืองปะเหลียน เคยเป็นเส้นทางสู่ทะเลตะวันตกของเมืองพัทลุง

แม้เมืองตรังอยู่ในฐานะเมือ
งบริวารและเมืองท่า ของนครศรีธรรมราชมานานแต่มี
เส้นทางติดต่อกับดินแดนใกล้เคียงอีกแห่งหนึ่งคือเ
มืองพัทลุง ตลอดเทือกเขาบรรทัดที่แบ่งก
ั้นเขตแดน ยังมีช่องทางหลายช่องจากแนว
เหนือจดใต้ เช่น ช่องไม้ไผ่ ตะเหมก ท้ายสำเภา เขาช่อง บ้านด่าน โคกทราย บ้านตระ เป็นต้น ส่วนหนึ่งของผู้ใช้ช่องทางน
ี้คือผู้หนีภัยบ้านเมือง หนีการเกณฑ์แรงงาน หนีคดีอาญาข้อหาโจร หรือขบวนต้อนวัวควายที่ซื้อ
ขายหรือลักพาเพื่อจะส่งออกท
างท่าเรือ อีกส่วนหนึ่งคือผู้อพยพแสวง
หาผืนแผ่นดินอุดมเพื่อการทำ
มาหากิน จึงมีชาวตรังเชื้อสายพัทลุง
อยู่ไม่น้อยในหมู่บ้านตลอดแ
นวชายเขาปัจจุบันและบางหย่อ
มย่านในเขตอำเภอปะเหลียน อำเภอย่านตาขาว และอำเภอกันตัง

ในตำนานเมืองพัทลุงมีส่วนที
่เกี่ยวข้องกับเมืองตรัง คือ เพลานางเลือดขาวกล่าวถึงสตร
ีผู้ใฝ่ใจพระพุทธศาสนา เดินทางสร้างวัดและพระพุทธร
ูปไว้มากมายหลายแห่งรวมทั้ง
ที่เมืองตรัง ซึ่งสอดคล้องกับตำนานพื้นบ้
านที่เล่ากันในหมู่ชาวตรัง ทั้งยังมีชื่อวัดพระศรีสรรเ
พชญ์พุทธสิหิงค์และวัดพระงา
มขึ้นอยู่กับวัดเขียนบางแก้
วและวัดสะทัง ดังใจความว่าโปรดฯให้เบิกวัดทั้งแขวงเมื
องนครและพัทลุง ๒๙๘ วัด มาขึ้นแก่วัดเขียนบางแก้วแล
ะวัดสทัง… วัดคูหาสวรรค์ ๑ อารามพิกุล ๑ วัดพระพุทธสิหิงค์ที่ตรัง ๑ วัดพระงามที่ตรัง ๑…
ทั้งเอกสารและตำนานเหล่านี้แสดงว่า ในครั้งนี้พัทลุงมีความรุ่งเรืองนั้นได้แผ่อาณาเขตมาถึงตรัง เพราะต้องการใช้เมืองตรังเป็นทางผ่านออกสู๋ทะเลตะวันตก เส้นทางตามตำนานนางเลือดขาวน่าจะเป็นทางเขาช่อง เพราะใกล้คลองนางน้อยซึ่งใช้ออกสู่แม่น้ำตรัง เส้นทางเขาช่องนี้ยังสามารถเดินมาถึงบ้านย่านตาขาวและปะเหลียนเพื่ออกสู่แม่น้ำปะเหลียนได้ด้วย ส่วนอีกช่องทางหนึ่งคือที่บ้านตระนั้นสามารถติดต่อกับบ้านพูดและบ้านโละจังกระทางฝั่งพัทลุงได้ จากบ้านตระมีเส้นทางออกสู่ทะเลที่ปากแม่น้ำปะเหลียน แหลมหยงสตาร์ และชายฝั่งละงู

ประวัติเมืองพัทลุงในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. ๒๑๗๒ ปัตตานีและนครศรีธรรมราชทำการแข็งเมือง พวกปัตตานียกทัพเข้าโจมตีเมืองพัทลุงซึ่งตั้งอยู่ที่ หัวเขาแดง เมืองสงขลา สุลต่านสุำลมานผู้สำเร็จราชการสามารถสู้รบต้านทานไว้ได้ จากนั้นจึงให้น้องชายคือ ฟารีชี (ในพงศาวดารเมืองพัทลุง เรียก เพรีชี) ไปสร้างเมืองที่ชัยบุรี เพื่อให้เป็นป้อมปราการคอยสกัดกั้นศัตรูที่อาจจะยกมาอีก ต่อมามีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นทางเมืองไทรบุรี ฟารีชีจึงนำทัพจากพัทลุงผ่านบ้านชะรัดเพื่อไปปราบปราม แต่เมื่อถึงบ้านชะรัดเกิดล้มป่วยเสียชีวิตพวกพลพรรคจึงฝังศพไว้ซึ่งยังคงอยู่จนปัจจุบัน ในเขตอำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ชาวบ้านเรียกว่าที่ฝังศพ ทวดโหม หลังสมัยนี้เชื้อสายของทวดโหมได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองจนถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. ๒๒๙๑ แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระยาราชบังสัน (ตะตา) เป็นเจ้าเมืองพัทลุง

ตอนนั้นปะเหลียนนับเป็นเมืองหนึ่งที่ขึ้นกับพัทลุง อาณาเขตของเมืองพัทลุงครอบคลุมไปถึงฝั่งตะวันตกของแหลม จากแม่น้ำปะเหลียนใต้ตรังลงมายังชายแดนแม่น้ำอูเปของเคดะห์
ชุมชนที่ตั้งเมืองปะเหลียนยุคแรกคือบริเวณที่เรียกว่าปะเหลียนใน ปัจจุบันอยู่ในหมู่ที่ ๑๒ ตำบลปะเหลียน เป็นจุดหนึ่งที่สามารถรองรับผู้ผ่านช่องเขามาจากพัทลุง ประมาณปี ๒๕๒๖ มีผู้พบปืนใหญ่โบราณ ๒ กระบอก ที่บ้านแหลมสอมซึ่งอยู่ในเขตปะเหลียนใน และนำมาเก็บไว้ที่วัดกะพังสุรินทร์ ปืนใหญ่นี้อาจได้มาหลังจากที่เกิดศึกหวันหมานหลี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยูหัว โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งปืนจากไทรบุรีมาไว้ที่เมืองตรัง เมืองสตูล ใน พ.ศ. ๒๓๘๒ เพื่อลิดลอนกำลังของไทรบุรีที่ปกครองกันเองในความควบคุมของไทย
พ.ศ.๒๓๙๖ มีสาตราแต่งตั้งขุนณรงค์ภักดีเป็นพระวรนาถสัมพันธ์เจ้าเมืองปะเหลียน เนื่องด้วยพระยาวรนาถสัมพันธ์เจ้าเมืองคนก่อนถึงแก่กรรม ต่อมา พ.ศ.๒๔๑๐ พระวรนาถสัมพันธ์เจ้าเมืองพัทลุง พระปริยันต์เกษตรานุรักษ์เป็นเจ้าเมืองต่อมาและเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย ตั้งเมืองอยู่ที่ท่าพญาเหลือแต่ชื่อสถานที่ซึ่งเรียกกันว่าโคกเมือง หรือ โคกทำเนียบ

ส่วนที่แหลมหยงสตาร์จะมีชุมชนค่อนข้างใหญ่ เพราะภูมิประเทศเหมาะสมที่จะเป็นท่าเรือติดต่อค้าขายต่าง ๆ ได้ดี จึงมีผู้คนเข้ามาตั้งบ้านเรืองอยู่มาก กลุ่มคนในหยงสตาร์ไม่น้อยกล่าวว่า บรรพบุรุษของเขามาจากชายฝั่งตลอดแหลมมลายูตลอดไปจนถึงสุมาตรา ชุมชนแห่งนี้คงจะเป็นท่าเรือใหญ่มาพร้อมๆกับสมัยที่ปะเหลียนเป็นเมืองขึ้นของพัทลุงหรือก่อนหน้านั้น และมีผู้คนมากขึ้นเมื่อมีชาวจีนอพยพเข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์ ต่อมาใน พ.ศ.๒๓๖๗ ปรากฎว่ามีประชากรถึง ๑๐๐ ครัวเรือน ในขณะที่พื้นที่ใกล้เคียง เช่น ละงู โอเป (สุไหงอุเป หรือไหเปะ) ดุหุน มีแหล่งละประมาณ ๑๐ – ๒๐ ครัวเรือน

ในเมืองปะเหลียนยังมีตำแหน่งผู้นำชุมชนย่อย เรียกว่า จอม ตามประวัติบอกเล่าในตระกูลเก่าของเมืองปะเหลียน กล่าวว่า หลวงต่างใจราษฎ์ ข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราชสังกัดกรมมหาดไทย ภายหลังเป็นผู้ปกครองเกาะลังกาวี มีบุตรได้เป็นที่หลวงสมุทรโยธีตำแหน่งนายกองเรือง เสียชีวิตในการต่อสู้ป้องกันเมืองตรังเมื่อเกิดกบฏหวันหมาดหลี บุตรของหลวงสมุทรโยธีได้เป็นหลวงจางวาง ในชั้นแรกรับราชการเป็นนายกองเรือ ภายหลังได้เป็นผู้รักษาปากน้ำเมืองปะเหลียน ได้เป็น จอม ตำแหน่งนายบ้านเทียบเท่านายอำเภอ ชื่อจอมซิยตรีคนในตระกูลนี้ได้สืบตำแหน่งจอมต่อมา ได้แก่ จอมบ่าโฮ้ย (หลวงฤทธิ์) สังกัดกรมช่างเกณฑ์กำปั้นมีหน้าที่ต่อเรือรบ จอมฉาด (หลวงบำรุงชลธี) เป็นต้น


Photographer: Wannasiri Srivarathanabul
———————–
www.dp-studio.com